ระวัง! อาการปวดท้องธรรมดา อาจไม่ธรรมดา เสี่ยง “นิ่วในถุงน้ำดี – ท่อน้ำดี”
อาการปวดท้องหลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือแค่กินอะไรผิดสำแดง แต่รู้หรือไม่ว่า อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “นิ่วในถุงน้ำดี” หรือ “นิ่วในท่อน้ำดี” ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ติดเชื้อในกระแสเลือด หรือแม้แต่มะเร็งได้
ทำความรู้จัก “น้ำดี” และการเกิดนิ่ว
น้ำดี (Bile) คือของเหลวสีเหลืองหรือเขียว ผลิตโดยเซลล์ตับ แล้วไหลผ่านท่อน้ำดีไปเก็บพักไว้ใน “ถุงน้ำดี” ก่อนจะถูกส่งต่อไปยังลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อช่วยย่อยไขมันในอาหาร แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การรับประทานอาหารไขมันสูง การได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจน จากการตั้งครรภ์หรือการรับประทานยาคุมกำเนิด โรคเบาหวาน ประวัติพันธุกรรม หรือปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ส่งผลให้ระบบการไหลของน้ำดีผิดปกติ หรือการเสียสมดุลของน้ำดี จนเกิดการตกตะกอน กลายเป็น "นิ่ว" ในที่สุด
นิ่วในถุงน้ำดี คืออะไร ?
นิ่วในถุงน้ำดีพบได้บ่อย โดยเฉพาะในวัย 40-50 ปี เกิดจากการตกตะกอนของสารในน้ำดี ได้แก่ แคลเซียม คอเลสเตอรอล และบินรูบิน จับตัวเป็นก้อนนิ่วขนาดต่างๆในถุงน้ำดี มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
อาการที่พบบ่อย
• ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา หรือแน่นท้องบริเวณลิ้นปี่
• คลื่นไส้ อาเจียน
• ท้องอืด ท้องเฟ้อแน่นท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา
• แสบร้อนบริเวณช่วงอกคล้ายอาการกรดไหลย้อน มีลมในกระเพาะอาหาร
• อาการมักเป็นๆ หายๆ และกลับมาอีกได้
วิธีการรักษานิ่วในถุงน้ำดี
การผ่าตัดนำถุงน้ำดีออกพร้อมนิ่ว เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับเนื่องจากมนุษย์สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ตามปกติโดยไม่มีถุงน้ำดี และการกำจัดถุงน้ำดียังช่วยป้องกันการเกิดนิ่วขึ้นมาใหม่ได้อีกในอนาคต
การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องโดยแพทย์จะผ่าตัดบริเวณชายโครงขวา ในกรณีที่มีการอักเสบรุนแรง ถุงน้ำดีแตก หรืออื่นๆ ใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าการผ่าตัดส่องกล้อง
การผ่าตัดส่องกล้องผ่านทางหน้าท้อง แบบเทคนิคแผลเล็กโดยการเจาะรูขนาดเล็กที่หน้าท้อง เพื่อสอดกล้องและเครื่องมือผ่าตัดเข้าไป ช่วยให้แพทย์มองเห็นพยาธิสภาพและอวัยวะภายในได้ชัดเจน รักษาได้ที่ต้นเหตุ แผลเล็ก เสียเลือดน้อย ลดภาวะแทรกซ้อน ลดระยะในการพักฟื้น
นิ่วในท่อน้ำดี: อันตรายมากกว่าแค่ปวดท้อง
นิ่วในท่อน้ำดีเกิดจากนิ่วที่หลุดจากถุงน้ำดีมาอุดตัน หรือเกิดขึ้นใหม่ในท่อน้ำดี มักมีอาการรุนแรงกว่า เช่น:
- ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา
- ปวดต่อเนื่องนานกว่า 1 ชั่วโมง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อาจมีไข้ หนาวสั่น ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเข้ม
หากปล่อยไว้ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น :
• ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน
• ติดเชื้อในท่อน้ำดี
• ติดเชื้อในกระแสเลือด
• ตับแข็ง
การวินิจฉัยและตรวจหา
• การตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน เพื่อให้เห็นรายละเอียดของก้อนนิ่วในถุงน้ำดี และท่อน้ำดี
• CT Scan หรือ MRI ช่วยให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนของความผิดปกติในท่อน้ำดี และทางเดินน้ำดี
วิธีการรักษานิ่วในท่อน้ำดี
การรักษาในปัจจุบันคือ การส่องกล้อง ERCP (Endoscopic Retrograde Cholangiopancreatography) โดยไม่ต้องผ่าตัดแบบเปิด เป็นวิธีการผ่าตัดส่องกล้องแบบ (Minimally Invasive Surgery) โดยเป็นการส่องกล้องผ่านทางปาก เพื่อเข้าถึงท่อน้ำดี ซึ่งแพทย์จะมองเห็นภาพในท่อน้ำดีได้ชัดเจน และใช้อุปกรณ์พิเศษเพื่อนำนิ่วออก ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษา ในกรณีนิ่วขนาดใหญ่หรือมีข้อจำกัดอื่นๆ อาจต้องใช้การผ่าตัดร่วมด้วย
ป้องกันก่อนเสี่ยงเป็นนิ่ว
• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
• ลดอาหารไขมันสูง และเน้นไขมันดี เช่น ไขมันไม่อิ่มตัว
• รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ และอาหารไฟเบอร์สูง
• ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ อย่าลดน้ำหนักเร็วเกินไป (ไม่เกิน 1.5 กก./เดือน)
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 วัน ครั้งละ 30 นาที
นิ่วในถุงน้ำดีและท่อน้ำดีอาจดูเหมือนเป็นแค่เรื่องปวดท้องธรรมดา แต่ความจริงแล้วอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต การรู้เท่าทันอาการ และหมั่นตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงภาวะเสี่ยงเหล่านี้และลดการเกิดภาวะฉุกเฉินได้ และได้รับการรักษาที่ทันการอย่างมีประสิทธิภาพ
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้แล้วที่
แผนกผู้ป่วยนอกพิเศษ โรงพยาบาลภัทร-ธนบุรี โทร 02-055-6555 ต่อ 0, 2232